ออนไลน์ : 5
ขอเชิญร่มบริจาคร่วมโลหิต ในวันจันทร์ที่ 23 กันยายน 2562 ณ ศาลาลูกพระพรหมโดมเอนกประสงค์อำเภอจตุรพักตรพิมาน จังหวัดร้อยเอ็ด ตั้งแต่เวลา 08.00-12.00 น.เป็นต้นไปค่ะ
ใครสามารถบริจาคเลือดได้บ้าง ?
เนื่องจากเลือดที่บริจาคจะถูกนำไปใช้กับผู้ที่ต้องการ ดังนั้นเลือดที่ได้รับการบริจาคจะต้องมีคุณภาพเพียงพอ และต้องมาจากผู้ที่มีสุขภาพที่พร้อมสำหรับการบริจาคเลือด เพื่อไม่ให้ส่งผลเสียต่อทั้งคุณภาพของเลือดและสุขภาพของผู้บริจาค โดยคุณสมบัติของผู้ที่สามารถบริจาคเลือดได้มีดังนี้
- อายุตั้งแต่ 17-70 ปี หากอายุ 17 ปีจะต้องได้รับความยินยอมจากครอบครัว หากเป็นผู้บริจาคครั้งแรกไม่ควรอายุเกิน 55 ปี
- มีน้ำหนักตั้งแต่ 45 กิโลกรัมขึ้นไป
- สุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์
- นอนหลับอย่างเพียงพอในคืนก่อนมาบริจาคเลือด คือนอนหลับอย่างน้อย 6 ชั่วโมง
- ไม่มีอาการท้องเสีย หรือเป็นไข้หวัด ในช่วง 7 วันก่อนบริจาคเลือด
- ไม่อยู่ในระหว่างการตั้งครรภ์ ไม่เคยมีการคลอดบุตรหรือแท้งบุตรในช่วย 6 เดือนที่ผ่านมา
- ไม่มีปัญหาเรื่องน้ำหนักลดลงผิดปกติในช่วง 3 เดือนก่อนบริจาคเลือด
- ไม่เป็นโรคหอบหืด โรคผิวหนังเรื้อรัง หรือภูมิแพ้ต่าง ๆ
- หากมีการทำทันตกรรม เช่น ถอนฟัน อุดฟัน ขูดหินปูน หรือรักษารากฟัน ควรทิ้งระยะห่างก่อนบริจาคเลือดอย่างน้อย 3 วัน
- หากเคยผ่านการผ่าตัดใหญ่จะต้องทิ้งระยะห่างเกิน 6 เดือน หากเป็นผ่าตัดเล็ก ควรทิ้งระยะห่างอย่างน้อย 1 เดือน
- ไม่มีพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศ หรือมีคู่ครองที่มีพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศ
- ไม่มีประวัติการเสพยาเสพติด
- หากเพิ่งพ้นโทษ ต้องทิ้งระยะห่างเกิน 3 ปีจึงจะบริจาคเลือดได้
- หากมีการเจาะหู สัก ลบรอยสัก หรือฝังเข็ม ควรทิ้งระยะห่าง 1 ปี
- หากมีประวัติเคยเจ็บป่วยและเคยได้รับการให้เลือดจากผูู้อื่นจะต้องทิ้งระยะห่าง 1 ปี
- หากมีประวัติป่วยเป็นมาลาเรีย ต้องทิ้งระยะเวลาห่างหลังจากหายจากโรคแล้ว 3 ปี หากเคยเข้าไปในพื้นที่ที่มีการระบาดจะต้องทิ้งระยะห่างอย่างน้อย 1 ปี
- ต้องไม่เคยได้รับวัคซีนในช่วง 14 วันก่อนบริจาคเลือด หากเคยได้รับเซรุ่มควรทิ้งระยะห่าง 1 ปี
นอกจากนี้หากผู้บริจาคมีอายุตั้งแต่ 60-70 ปี จะต้องมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้
- ผู้บริจาคเลือดอายุ 60-65 ปี จะต้องเป็นผู้ที่บริจาคเลือดเป็นประจำอย่างสม่ำเสมอมาจนกระทั่งอายุ 60 ปี และต้องตรวจความสมบูรณ์ของเลือด (Complete Blood Count: CBC) ทุกครั้งที่ทำการบริจาคเลือด อีกทั้งยังควรตรวจปริมาณธาตุเหล็กในเลือด (Serum Ferritin) และผลเคมีของเลือด (Blood Chemistry) ปีละ 1 ครั้ง ซึ่งก่อนบริจาคเลือด แพทย์หรือพยาบาลจะวินิจฉัยและบันทึกผลการตรวจต่าง ๆ และหากผลเลือดและความดันเลือดปกติก็สามารถบริจาคได้
- ผู้บริจาคเลือดอายุมากกว่า 65 ปี แต่ไม่เกิน 70 ปี จะต้องเป็นผู้ที่บริจาคเลือดอย่างสม่ำเสมอในช่วงอายุ 60-65 ปี และต้องตรวจเลือด (Complete Blood Count: CBC) ทุกครั้งที่ทำการบริจาคโลหิต อีกทั้งยังควรตรวจปริมาณธาตุเหล็กในเลือด (Serum Ferritin) ผลเคมีของเลือด (Blood Chemistry) และตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ ปีละ 1 ครั้ง รวมทั้งมีใบรับรองแพทย์ว่าสามารถบริจาคเลือดได้
ข้อห้ามในการบริจาคเลือด
ผู้ที่มีปัญหาสุขภาพหรืออยู่ในภาวะสุขภาพที่ไม่ปกติ เป็นกลุ่มที่ไม่ควรบริจาคเลือด เนื่องจากเลือดที่ได้จะไม่สามารถใช้ได้ และอาจส่งผลต่อผู้บริจาคอีกด้วย ผู้ที่เคยบริจาคเลือด หรือส่วนประกอบอื่น ๆ ของเลือดมาก่อนและยังไม่ถึงกำหนดการบริจาคครั้งใหม่ไม่ควรบริจาคเลือดในทันที โดยผู้ที่บริจาคเลือดจะต้องทิ้งระยะห่าง 12 สัปดาห์ หากบริจาคพลาสม่าจะสามารถบริจาคได้ใหม่ทุก ๆ 14 วัน ส่วนผู้ที่บริจาคเพียงเม็ดเลือดแดงจะต้องรออย่างน้อย 16 สัปดาห์จึงจะบริจาคใหม่ได้
ผู้ที่ห้ามบริจาคเลือดคือผู้ที่มีคุณสมบัติดังนี้
- ผู้ที่มีปริมาณของฮีโมโกลบินไม่เพียงพอ
- สตรีที่อยู่ในระหว่างตั้งครรภ์
- ผู้ที่เพิ่งกลับมาจากการเดินทางไปต่างประเทศ
- ผู้ที่มีความดันโลหิตสูงหรือต่ำผิดปกติ
- ผู้ที่อยู่ในระหว่างการรับประทานยารักษาอาการ
- ผู้ที่มีปัญหาสุขภาพ อาทิ ติดเชื้อเอชไอวี
- ผู้ที่เพิ่งมีการใช้เข็มฉีดยา เจาะร่างกาย หรือสักภายในระยะเวลา 1 ปี
ทั้งนี้หากมีโรคประจำตัว หรือไม่แน่ใจว่าสามารถบริจาคเลือดได้หรือไม่ ควรสอบถามเจ้าหน้าที่หรือแพทย์ พยาบาลภายในหน่วยบริจาคเลือด โดยจะขึ้นอยู่กับการพิจารณาคัดกรองของเจ้าหน้าที่
การเตรียมตัวก่อนบริจาคเลือด
การเตรียมตัวก่อนบริจาคเลือดเป็นสิ่งสำคัญที่มองข้ามไม่ได้ เนื่องจากการเตรียมตัวที่พร้อมจะช่วยให้คุณภาพของเลือดที่บริจาคเป็นไปตามที่กำหนดไว้ และช่วยป้องกันปัญหาสุขภาพที่อาจเกิดขึ้นกับผู้บริจาคเลือดได้ โดยในเบื้องต้นควรเตรียมตัวดังนี้
- นอนหลับให้เพียงพออย่างน้อย 6 ชั่วโมงในเวลานอนปกติก่อนวันบริจาค
- รับประทานอาหารที่มีประโยชน์เพียงพอและควรรับประทานอาหารให้เรียบร้อยก่อนบริจาคเลือด
- หลีกเลี่ยงอาหารไขมันสูง เนื่องจากอาหารที่มีไขมันสูงจะทำให้พลาสม่ามีความผิดปกติ
- ดื่มน้ำเปล่ามาก ๆ เพื่อเพิ่มปริมาณสารน้ำในร่างกายและป้องกันไม่ให้เกิดภาวะแทรกซ้อนหลังการบริจาคเลือด
- งดดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์อย่างน้อย 24 ชั่วโมงก่อนบริจาคเลือด
- งดสูบบุหรี่ ก่อนและหลังบริจาคเลือด 1 ชั่วโมง เพื่อให้ปอดสามารถฟอกเลือดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- สวมใส่เสื้อผ้าที่แขนเสื้อไม่รัดมากจนเกินไป และสามารถพับหรือดึงขึ้นมาเหนือข้อศอกได้อย่างน้อย 3 นิ้ว
- หยุดรับประทานยาแอสไพริน ยาคลายกล้ามเนื้อ หรือยาแก้ปวดอื่น ๆ ภายใน 3 วันก่อนบริจาคเลือด
- หยุดรับประทานยาแก้อักเสบหรือยาอื่น ๆ อย่างน้อย 7 วันก่อนบริจาคเลือด
การดูแลตัวเองหลังจากบริจาคเลือดเมื่อบริจาคเลือดเสร็จแล้ว ควรนั่งพักผ่อนสักครู่ก่อนแล้วจึงค่อยกลับบ้าน ทั้งนี้หากมีอาการคล้ายจะเป็นลม หรือรู้สึกผิดปกติ ควรนั่งศีรษะต่ำ หรือนอนราบยกเท้าให้สูงกว่าศีรษะจนกว่าจะรู้สึกดีขึ้นแล้วจึงค่อยกลับ หากบริจาคเลือดเสร็จแล้วยังมีเลือดซึมออกมาที่ผ้าปิดแผล ให้ใช้นิ้วมือกดลงที่ผ้าก๊อซและยกแขนสูงไว้ประมาณ 3-5 นาที หากเลือดยังไม่หยุดไหลให้กลับไปที่หน่วยบริจาคเลือดเพื่อพบแพทย์หรือพยาบาลอีกครั้งเพื่อความปลอดภัย
นอกจากนี้หลังจากบริจาคเลือดแล้ว ผู้บริจาคจะต้องดูแลตัวเองมากขึ้นเป็นพิเศษเนื่องจากจะต้องใช้เวลา 1-2 วันกว่าปริมาณของเลือดจะค่อย ๆ กลับเข้าสู่ภาวะปกติ โดยในช่วงหลังบริจาคเลือดควรปฏิบัติตัวดังนี้
- ดื่มน้ำมากกว่าปกติ เพื่อเพิ่มปริมาณของเหลวในร่างกาย
- หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ต้องเสียเหงื่อในปริมาณมาก ๆ เช่น การทำซาวน่า หรือออกกำลังกายที่เสียเหงื่อมาก งดกิจกรรมที่ต้องออกแรงในแขนข้างที่เจาะ และงดการหิ้วของหนัก ๆ ในช่วง 24 ชั่วโมงหลังบริจาคเลือด
- ผู้ที่ต้องทำงานที่ต้องปีนป่ายในที่สูงหรือทำงานเกี่ยวกับเครื่องจักร ควรหยุดพักอย่างน้อย 1 วัน
- รับประทานอาหารอาหารที่มีธาตุเหล็กสูง และมีสารอาหารครบถ้วน
- รับประทานธาตุเหล็กที่ได้รับจากหน่วยบริจาคเลือดวันละ 1 เม็ดเพื่อป้องกันการขาดธาตุเหล็กติดต่อกัน โดยรับประทานจนกว่าจะหมด
การบริจาคเลือดมีความปลอดภัยสูง จึงไม่ค่อยพบภาวะแทรกซ้อนหรืออันตรายที่เกิดจากการบริจาคเลือด ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าหากร่างกายของผู้บริจาคไม่มีความพร้อม แพทย์และพยาบาลประจำหน่วยบริจาคจะไม่อนุญาตให้บริจาคเลือดโดยเด็ดขาด และผลข้างเคียงที่อาจพบได้ก็มักเกิดจากความไม่ชำนาญของผู้เจาะเลือดจนทำให้เกิดรอยห้อเลือดเท่านั้น นอกจากนั้น้ ยังไม่พบการติดเชื้อจากการบริจาคเลือด เนื่องจากอุปกรณ์ที่ใช้ในการบริจาคเลือดเป็นอุปกรณ์ที่ผ่านการฆ่าเชื้อและไม่มีการนำกลับมาใช้ซ้ำ เพื่อสุขอนามัยและความปลอดภัยของผู้บริจาคเลือด